วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Cinderella [ซินเดอเรล่า]

++ซินเดอเรล่า++




          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอาณาจักรที่ห่างไกล มีหญิงสาวผู้ หนึ่ง นามว่า “ซินเดอร์ริล่า” เธออาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่กับแม่เลี้ยง และลูกเลี้ยงอีกสองคนที่มีชื่อว่า อานาตาเซีย และดริเซลล่า
          ซินเดอร์ริล่าเป็นหญิงสาวที่น่ารักมีจิตใจดีและอ่อนโยน ในขณะที่พี่สาวต่างมารดาของเธอเป็นพวกเห็นแก่ตัว และมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ แม่เลี้ยงของซินเดอร์ริล่าไม่ชอบเธอ แม่เลี้ยงมักจะใช้ให้ซินเดอร์ริล่าทำงานบ้านต่างๆ ทั้งหมด และให้เธอนอนอยู่ในห้องใต้หลังคา


          แต่ซินเดอร์ริล่ามักจะมองโลกในแง่ดีเสมอ เธอทำงานอย่างมีความสุข โดยมเจ้าหนูและนกน้อยคอยอยู่เป็นเพื่อนเธอและให้กำลังใจเธออยู่เสมอ
          ในตอนนี้ พระราชาคาดหวังที่อยากจะเห็นพระราชโอรสได้อภิเษกสมรสและมีครอบครัวอย่างเป็นทางการสักที แต่จะทำยังไงให้เจ้าชายได้พบกับหญิงสาวที่คู่ควรเหมาะสมกับพระองค์หล่ะ?
          หลังจากนั้นไม่นานพระราชาก็บังเกิดความคิดที่ยอดเยี่ยม นั่นก็คือ การจัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าชาย “และถ้าสาวโสดทุกคนในอาณาจักรของข้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมารวมตัวกันที่พระราชวังแห่งนี้...”
          ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น คนแจ้งข่าวจากพระราชวังได้มาปรากฏตัวขึ้นที่ประตูหน้าบ้านของซินเดอร์ริล่า พร้อมกับแจ้งข่าวเรื่องงานเลี้ยงที่จะมีขึ้น
          “งานเลี้ยง! เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าชาย...และด้วยอำนาจของพระราชา ข้าขอออกคำสั่งให้สาวโสดทุกคนมาเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย!” แม่เลี้ยงอ่านจดหมายเชิญชวนที่เพิ่งได้รับมา


“ทำไมหล่ะถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่าฉันก็สามารถไปร่วมงานได้ด้วยนะสิ” ซินเดอร์ริล่ากล่าว
“ฮ่า! ฮ่า!” พี่สาวต่างมารดาทั้งสองของซินเดอร์ริล่าต่างหัวเราะเสียงแหลมขึ้นมาในทันที และหลังจากนั้นพี่สาวของเธอก็เริ่มทำเลียนแบบเป็นซินเดอร์ริล่าที่อยู่ในงานเลี้ยง
“เจ้าชายเพคะ หม่อมฉันจะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ไม่ทราบว่าพระองค์จะรังเกียจไหม ถ้าหม่อมฉันจะให้ พระองค์ช่วยถือไม้กวาดของหม่อมฉันให้หน่อย?”


“ทำไม ไม่ได้หล่ะ? ถึงอย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังเป็นสมาชิกของครอบครัวเหมือนกันนะ” ซินเดอร์ริล่า กล่าวอย่างหนักแน่น
“ฮืม! ใช่แล้ว ข้าเห็นว่าไม่มีเหตุผลเลย ทำไมเธอจะไปไม่ได้ ถ้าเธอสามารถทำงานบ้านทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยทันเวลา” แม่เลี้ยงกล่าวขึ้นมา
พี่สาวทั้งสองของซินเดอร์ริล่ารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก “ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าได้พูดอะไรออกไปเมื่อกี้?” พวกเขาต่างตะโกนถาม
“แน่นอน ข้ารู้ดี ข้าพูดว่า ถ้า” แม่เลี้ยงตอบอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
“อ๋อ, ถ้า!” พี่สาวทั้งสองกล่าวขึ้นพร้อมกัน และต่างมองหน้ากันและยิ้มให้กันอย่างสะใจ


และแน่นอนว่า ซินเดอร์ริล่าก็จะต้องหาชุดที่เหมาะสมใส่ไปในงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน เธอรีบวิ่งกลับไปยังที่ห้องของเธอ เพื่อไปลองหาชุดที่จะใส่ดู


ในห้องนอนของเธอ ซินเดอร์ริล่าได้หยิบหีบขึ้นมาแล้วเปิดมันออก จากนั้นจึงหยิบเอาชุดขึ้นมาชุดหนึ่ง เจ้าหนูน้อยทั้งหลายจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็น “ชุดนี้สวยใช่ไหมจ๊ะ?” เธอถามในขณะที่กำลังมองดูตัวเองที่กระจก “มันเป็นชุดของแม่ฉันเองจ๊ะ”
“เอ่อ...มันดูค่อนข้างเก่านะ” เจ้าหนูตัวเล็กที่ชื่อ แจ๊ค กล่าวออกมา
“โฮ ฉันจะซ่อมแซมมันเอง” ซินเดอร์ริล่า กล่าว
“ฉันต้องการสายสะพาย...ชิ้นผ้าที่จับจีบใช้ตกแต่ง...”
อีกสักครู่ พวกพี่สาวก็ตะโกนเรียก “ซินเดอร์ริล่า!
“ซินเดอร์ริล่า ผู้น่าสงสาร!” เจ้าหนูน้อยทั้งหลายกล่าว “ทุกๆ ครั้งที่เธอพอจะมีเวลาส่วนตัวบ้าง...พวกพี่สาวก็จะเริ่มเรียกเธอใช้งานทันที”
“โฮ ลองทายดูสิว่าอะไร... ชุดจ๋า สงสัยฉันคงต้องหาเวลามาใหม่เพื่อที่จะมาซ่อมแซมเธอแล้วหล่ะ” ซินเดอร์ริล่า กล่าว แล้วหลังจากนั้นเธอตะโกนตอบกลับไปยังพี่สาวทั้งสองว่า “ตกลงจ๊ะ ฉันกำลังไปเดี๋ยวนี้แล้ว!” แล้วเธอก็รีบวิ่งออกจากห้องนอนของเธอไปทันที
“นายเห็นไหมล่ะ!” แจ๊ค พูดเสียงแหลม “พวกพี่สาวของเธอจะคอยกลั่นแกล้งตลอดเวลา และเธอจะไม่มีวันที่จะซ่อมแซมชุดของเธอได้เสร็จเรียบร้อยหรอก”
ซินเดอร์ริล่าได้ลงมาข่างล่าง พบแม่เลี้ยงกำลังยืนรออยู่ที่หน้าห้องโถงพร้อมด้วยอานาตาเซีย และดริเซลล่า พวกเขาบอกให้เธอทำความสะอาดพื้นห้องโถงอีกครั้ง โดยไม่สนใจว่าก่อนหน้านี้วันหนึ่ง เธอได้ทำความสะอาดไปแล้วก็ตาม


“เมื่อเจ้าทำความสะอาดพื้นห้องโถงนี้เสร็จแล้ว และ ก่อนที่จะเริ่มทำงานอื่นๆ ต่อ ข้ามีบางสิ่งบางอย่าง...” แม่เลี้ยง กล่าว
อานาตาเซียและดริเซลล่าก็ได้หางานพิเศษเพิ่มเติมให้ซินเดอร์ริล่าทำด้วย นั่นก็คือพวกเธอต้องการให้ซินเดอร์ริล่าไปรีดชุดของพวกเธอที่จะใส่ไปในงานเลี้ยงและดัดผมให้พวกเธอเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานเลี้ยง แต่งานพิเศษที่ว่านี้จะต้องทำหลังจากที่ซินเดอร์ริล่าได้ทำความสะอาดบ้าน, ล้านจาน, และทำความสะอาดซักผ้ารีดผ้าเรียบร้อยแล้วเสร็จก่อน
ซินเดอร์ริล่าไม่มีทางเลือก เธอต้องทำตามที่ได้รับคำสั่ง ตลอดทั้งวัน เธอทำแต่งาน แต่ในใจของเธอก็ได้แต่เฝ้าคิดอย่างเศร้าสร้อยเกี่ยวกับชุดของเธอที่อยู่ในห้องนอน
ในระหว่างนั้นเจ้าหนูและนกน้อยทั้งหลายต่างช่วยกันซ่อมแซมชุดของซินเดอร์ริล่า
แจ๊คและกัส เพื่อนใหม่ของเขาได้แอบวิ่งเข้าไปในห้องนอนของพี่สาวของซินเดอร์ริล่าอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะไปดูว่า พวกมันสามารถหาอะไรมาใช้ได้บ้าง พวกพี่สาวทั้งสองต่างกำลังง่วนอยู่กับการรื้อค้นตู้เสื้อผ้า
“พวกผ้าเก่าๆ ทั้งหลายนี้” อานาตาเซีย พูดพลางหยิบขึ้นมาสูดดมกลิ่น แล้วก็โยนสายสะพายทิ้งลงบนพื้น
เช่นเดียวกับดริเซลล่า เธอก็โยนลูกปัดบางส่วนที่เธอไม่ต้องการเข้าไปในมุมตู้
กัสและแจ๊คได้ช่วยกันลากสายสะพายและลูกปัดไปยังห้องนอนของซินเดอร์ริล่า โดยวิ่งผ่านเจ้าแมวที่มีชื่อว่าลูซิเฟอร์ ซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ เมื่อหนูตัวอื่นๆ เห็นว่ากัสและแจ๊คได้อะไรมาบ้าง พวกมันต่างก็ดีใจไปตามๆ กัน


เมื่อหมดวันแล้ว ซินเดอร์ริล่าก็ยังคงต้องทำงานอยู่กับพี่สาวของเธอ ดริเซลล่า พยายามที่จะให้ซินเดอร์ริล่า ช่วยเธอลองชุดที่จะใส่ไปงานเลี้ยง ชุดแล้วชุดเล่า แต่ไม่มีชุดไหนที่ใส่แล้วจะทำให้เธอดูงดงามเหมือนกับซินเดอร์ริล่าได้
แต่ในที่สุดพวกพี่สาวของเธอก็ได้เดินอวดโฉมลงมาข้างล่าง รู้สึกพอใจกับชุดของพวกเธอเองเป็นอย่างมาก
“ฉันไม่ไปหรอก” ซินเดอร์ริล่า พูดพลางกับถอนหายใจ ในขณะที่เธอกำลังปีนขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา “โฮ...งานเลี้ยงของพระราชวัง คืออะไรนะ อยากรู้จัง?”
และเมื่อเธอไปถึงห้องของเธอ แล้วเปิดประตูเข้าไป ดวงตาของเธอก็สดใสเป็นประกายเหมือนดวงดาว
“เซอร์ไพร์ส!” พวกเจ้าหนูและนกน้อย ต่างพากันร้องออกมาอย่างพร้อมเพียงกันพวกมันรอที่จะได้เห็นเธอใส่ชุดสวยอย่างใจจดใจจ่อ และพวกมันก็ภูมิใจในผลงานของตนเองเป็นอย่างมากด้วย
“ทำไม ฉันไม่เคยฝันถึงมันมาก่อน...มันช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ!” ซินเดอร์ริล่า พูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจเป็นอย่างยิ่ง “ฉันสามารถ...ทำไม...โฮ ขอบคุณมากๆ เลยจ๊ะ!” เธอแทบจะไม่เชื่อเลยว่า ในที่สุดเธอสามารถจะไปเข้าร่วมในงานเลี้ยงของเจ้าชายได้! เธอรีบเปลี่ยนชุดเก่าออกแล้วใส่ชุดใหม่ทันที เธอมองดูตัวเองในกระจกแล้วหมุนรอบๆ ดูอีกครั้ง เสร็จแล้วเธอก็รีบวิ่งออกไปยังประตูแล้วได้ส่งจูบให้แก่เพื่อนๆ ของเธอ
ชั้นล่าง ดริเซลล่าและอานาตาเซีย กำลังรับฟังคำจากมารดาอยู่ โดยมีรถม้ามาจอดคอยพวกเขาอยู่ด้านนอกแล้ว


แม่เลี้ยงได้พูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้ จำเอาไว้นะว่า เมื่อพวกเจ้าอยู่ต่อหน้าเจ้าชาย ต้องทำให้แน่ใจว่า...” แต่แม่เลี้ยงพูดยังไม่ทันจบ เธอก็ต้องหยุดชะงักและอ้าปากค้าง เพราะเอแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองว่าคนที่กำลังเดินลงมาจากบันได คือ ซินเดอร์ริล่า เธอช่างดูงดงามกว่าทุกครั้งและชุดที่เธอใส่ก็ดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก!
“ได้โปรด! รอฉันด้วย!” ซินเดอร์ริล่า ร้องเรียก เธอรีบวิ่งลงมาจากบันได้พร้อมกับยื่นมือไปจับชุดของเธอแล้วพูดขึ้นว่า “ชุดสวยไหม? ท่านแม่ชอบไหม?” เธอถาม
ดริเซลล่าและอานาตาเซียต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ “ท่านแม่, ไม่นะ!” พวกเธอพูดอย่างตะกุกตะกักหวาดกลัว แล้วทั้งสองก็พูดขึ้นพร้อมกันอีกว่า “ท่านแม่ต้องทำอะไรบางอย่างนะ! ซินเดอร์ริล่าต้องไปไม่ได้!
“ลูก, ลูกจ๋า! !” แม่เลี้ยง กล่าว พร้อมทั้งโบกมือให้ลูกๆ ทั้งสองของเธอเงียบก่อน “อย่างไรก็ตาม พวกเราได้มีการตกลงกันก่อนหน้านี้แล้ว” เมื่อพูดเสร็จ แม่เลี้ยงก็หันไปยัง ซินเดอร์ริล่าแล้วพูดกับเธอว่า “ใช่มั้ย ซินเดอร์ริล่า?”
สายตาของแม่เลี้ยงได้จ้องไปยังซินเดอร์ริล่า พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ลูกคิดว่ายังไงบ้างจ๊ะ ดริเซลล่า ซินเดอร์ริล่าช่างฉลาดอะไรเช่นนี้ ลูกปัดเหล่านี้... มันช่วยทำให้ชุดของเธอดูดีขึ้นมากเลย?”
“ไม่ มันไม่ได้ทำให้ดูดีขึ้นเลย!” ดริเซลล่า ตอบด้วยเสียงที่แหลมและดัง “พวกลูกปัดนี้...ทำไม... เจ้า...เจ้าขี้ขโมย ลูกปัดพวกนี้เป็นของข้า เอามันคืนมาให้หมด!” ดริเซลล่าพูดพร้อมกับกระชากลูกปัดออกจากคอเสื้อของซินเดอร์ริล่า
“ดูนั่นซิ! นั่นมันสายสะพายของข้านี่! เจ้าใส่สายสะพายของข้าอยู่!” อานาตาเซีย ตะโกนขึ้นอย่างเสียงดัง พร้อมทั้งฉีกสายสะพายขาด ซึ่งสายสะพายอันนี้พวกหนูได้ช่วยกันเย็บอยู่นานกว่าจะทำให้ดูดีขึ้นมา
“ไม่ หยุดนะ!” ซินเดอร์ริล่า ร้องไห้คร่ำครวญ พยายามที่จะปกป้องตัวเอง แต่ดริเซลล่าและอานาตาเซีย ไม่ฟังเสียง พวกเธอได้ช่วยกันฉีกชุดของซินเดอรริล่า ดึงเอาเครื่องประดับต่างๆ ออกมาหมด และในไม่ช้าชุดสวยของซินเดอร์ริล่าก็ขาดรุ่งริ่ง มันดูแย่กว่าชุดที่เธอใส่ทำงานปกติเสียอีก
“ลูก! นั่นน่าจะเพียงพอแล้วนะ” แม่เลี้ยง พูดอย่างห้วนๆ “เร็วๆ เข้า...พวกเจ้าทั้งสองคน” แล้วทั้งสามคนแม่ลูกก็รีบเดินไปยังประตูหน้าบ้าน ที่รถม้าจอดรออยู่ ทิ้งให้ซินเดอร์ริล่าเป็นทุกข์เพียงลำพังอยู่ในห้องโถง
ซินเดอร์ริล่ารีบวิ่งเข้าไปในสวน และคุกเข่าลงพร้อมกับซบหน้าลงบนม้านั่ง แล้วร้องไห้คร่ำครวญ มันไม่ยุติธรรมเลย! เธอมีความเชื่ออยู่เสมอเกี่ยวกับความฝันของเธอ และมันก็คือสุดยอดแห่งปรารถนาที่จะได้ไปงานเลี้ยง ได้แต่งตัวสวยๆ และได้เต้นรำเหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ!
ฉันไม่อยากเชื่อแล้ว ไม่อีกแล้ว...ไม่มีอะไรหลงเหลือที่ควรจะเชื่อถือได้อีก ซินเดอร์ริล่า ร้องครวญคราง
พวกหนูต่างก็เฝ้ามองดูซินเดอร์ริล่าด้วยความเป็นทุกข์เช่นกัน แจ๊คและกัสรู้ดีว่าพี่สาวของซินเดอร์ริล่าไม่อยากให้เธอไปที่งานเลี้ยง แต่พวกมันก็แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีใครที่ใจร้ายได้ถึงเพียงนี้
สัตว์ทั้งหลายรู้สึกเศร้าสร้อยไปด้วย รวมทั้ง เมเจอร์, ม้าแก่ที่มีหน้าที่ลากเกวียน, บรูโน, สุนัขแสนรู้ พวกมันพยายามที่จะปลอบใจซินเดอร์ริล่า
แต่แล้วบางสิ่งประหลาดก็ได้เกิดขึ้น มีแสงระยิบระยับในอากาศ และในไม่ช้าก็ได้ปรากฏร่างของหญิงสาวผู้ใจดี กำลังนั่งอยู่บนม้านั่ง พร้อมกับลูกหัวของซินเดอร์ริล่าแล้วพูดขึ้นว่า “เธอไม่สามารถไปงานเลี้ยงในสภาพอย่างนี้ได้! แต่พวกเราต้องรีบหน่อย...”
“เพราะเหตุใด...ถ้าอย่างนั้น ท่านก็คือ...” ซินเดอร์ริล่า กล่าว
“แน่นอนที่สุด!, ฉันก็คือ นางฟ้าอุปถัมภ์” นางฟ้าแปลกหน้าผู้มาเยือนพูดพร้อมกับยิ้มอย่างใจดี
“ตอนนี้คอยดูแล้วกันนะ...”
นางฟ้าอุปถัมภ์ เอ๋ยขึ้น พร้อมๆ กับขยับไม้กายสิทธิ์แล้วเริ่มใช้อำนาจวิเศษเนรมิตสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้น นางฟ้าได้เนรมิตให้ฟักทองเป็นรถม้าขนาดใหญ่ และเนรมิตเจ้าหนูทั้งหลายที่เป็นเพื่อนของซินเดอร์ริล่าให้เป็นม้า ส่วนเมเจอร์, เจ้าม้าแก่ ได้กลายเป็นคนขับม้า และบรูโน สุนัขแสนรู้ก็ได้กลายเป็น ผู้รับใช้!
“แม่ทูนหัว เร็วๆ เข้า รีบขึ้นไปบนรถ พวกเราไม่อยากเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์”
“แต่ว่า...”ซินเดอร์ริล่ามองดูชุดที่ขาดรุ่งริ่งของเธอ
“นี่ ไม่ต้องพยายามที่จะขอบคุณฉันหรอกจ้ะ...” นางฟ้าอุปถัมภ์เอ่ย
“ฉันต้องการที่จะขอบคุณท่านด้วยจ้ะ แต่ว่า...ท่านคิดว่าชุดของฉัน...”
“ใช่ ใช่ ชุดของเจ้าน่ะดูดีอยู่แล้ว...” แต่ทันใดนั้นเอง ตาของนางฟ้าได้เหลือบมองเห็นชุดที่ซินเดอร์ริล่าสวมใส่อยู่ เธอถึงกับอุทานว่า “โฮ พระเจ้า! เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย! เจ้าใส่ชุดนี้ไปงานเลี้ยงไม่ได้หรอกนะ!

นางฟ้าอุปถัมภ์ได้ยื่นไม้กายสิทธิ์ไปที่ตัวของซินเดอร์ริล่าพร้อมกับเอ่ยคาถาวิเศษ และทันใดนั้นเองก็ได้เกิดแสงดาวหมุนไปรอบๆ ตัวของซินเดอร์ริล่า และเมื่อแสงดาวได้จางหายไป ซินเดอร์ริล่าก็พบว่าตัวเองได้สวมใส่ชุดที่สวยงาม ซึ่งส่องแสงเป้นประกายวาววับ
“โฮ!” ซินเดอร์ริล่าตกตะลึงไปชั่วขณะ เธอหมุนไปรอบๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเคยเห็นชุดที่สวยงามเช่นนี้มาก่อนไหม? และรองเท้าแก้วด้วย! มันช่างเหมือนความฝันเสียเหลือเกิน!
แต่ทุกอย่างมันก็คือความฝัน... ข้าเกรงว่ามันจะไม่อยู่ยั่งยืนอย่างนี้ตลอดไป เจ้ามีเวลาถึงแค่เที่ยงคืนนี้เท่านั้น และต่อจากนั้น... เวทมนตร์ทุกอย่างก็จะหายไป...”
มันมากกว่าที่ฉันเคยหวังไว้เสียอีก!” ซินเดอร์ริล่ากล่าว พร้อมกับจูบลาแม่นางฟ้าอุปถัมภ์
ซินเดอร์ริล่ารีบออกเดินทางด้วยรถม้าอย่างเร่งด่วนเพื่อไปยังพระราชวังของเจ้าชาย

ในพระราชวังมีผู้คนมากมายหลายร้อยคนเข้ามาร่วมงานเลี้ยง สาวโสดทุกคนต่างมาแนะนำตนเองกับเจ้าชาย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าชายจะไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น
บนระเบียงด้านบน พระราชาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้เฝ้ามองดูสังเกตการณ์ พระราชารู้สึกไม่สบอารมณ์เอามากๆ “โฮ...เจ้าลูกชายของข้า ไม่ยอมให้ความร่วมมือเลย” พระองค์ คำราม
“ถ้ากระหม่อมจะกล่าวอะไรบางอย่าง หวังว่าพระองค์คงไม่ถือโกรธนะพะยะค่ะ, กระหม่อมได้พยายามเตือนพระองค์แล้ว...” ขุนนางกล่าวอย่างประหม่า
“อย่างน้อยข้าก็คิดว่าจะต้องมีใครสักคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติที่คู่ควรสามารถมาเป็นพระชายาของเจ้าชายได้!” พระราชา กล่าว
และต่อจากนั้นอีกไม่นานเป็นคิวของดริเซลล่าและอานาตาเซียที่จะแนะนำตนเองกับเจ้าชาย เมื่อทั้งสองคนเข้ามาแนะนำตนเอง เจ้าชายกลับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “ข้าล้มเลิกความตั้งใจแล้วหล่ะ!” พระราชา บ่นพึมพำ
แต่ตาของเจ้าชายได้กลับไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งบางอย่าง นั่นก็คือหญิงสาวสวยที่กำลังเดินหลงทางอยู่ในห้องโถง ซึ่งตั้งอยู่ด้านนอกของห้องจัดงานเลี้ยง และเมื่อมองมาแต่ไกลแล้วเธอคือสาวโสดที่สวยสะดุดตาที่สุดที่อยู่ในพระราชวังของงานในเย็นวันนั้น
เจ้าชายก้าวเดินออกไปจากห้องเลี้ยงอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเดินตรงเข้าไปหาซินเดอร์ริล่า พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ขอประทานโทษ”
แล้วเจ้าชายได้โค้งคำนับเธอและปราศจากคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งสองได้เดินอย่างช้าๆ เข้ามาในห้องงานเลี้ยงแล้วก็เริ่มเต้นรำด้วยกัน
พระราชารู้สึกปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง “มองดูนั่นสิ!” พระองค์ ตรัส พร้อมกับสะกิดให้ขุนนางดู
“เธอคือใครกันนะ?”
“กระหม่อมเองก็ยังไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลย พะยะค่ะ” ขุนนาง ซึ่งกำลังงุนงงอยู่ กล่าวตอบพระราชา
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ต้องไปสืบมาให้รู้ให้จงได้!” พระราชาออกคำสั่ง
ซินเดอร์ริล่าและเจ้าชายต่างก็เต้นรำด้วยกันเพลงแล้วเพลงเล่า พวกเขาประสานสายตากันและกันอย่างลึกซึ้ง ซินเดอร์ริล่ามั่นใจว่าเธอเองได้หลงรักเจ้าชายเข้าเสียแล้ว เมื่อเวลาที่เธอได้มองและประสานตากับคู่เต้นรำรูปงามของเธอ


แขกเหรื่อทั้งหลายต่างพากันประหลาดใจ “พวกเขารู้จักเธอหรือเปล่า?” ดริเซลล่าถามพี่สาวของเธอ “ฉันคิดว่าเจ้าชายดูเหมือนว่าจะรู้จักเธอเป็นอย่างดี!” อานาตาเซีย กล่าว
แม่เลี้ยงได้มองดูคู่เต้นรำที่กำลังเต้นรำกันอยู่ใกล้ๆ ระเบียง เธอพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับหญิงสาวผู้นี้ที่ข้ารู้สึกคุ้นเคย”
ซินเดอร์ริล่าและเจ้าชายได้พากันเดินเข้าไปในสวนของพระราชวังและเต้นรำกันภายใต้แสงดาว แต่ในขณะที่เจ้าชายกำลังโน้มเอียงตัวซินเดอร์ริล่าเข้ามาจูบนั้น เสียงระฆังที่บอกเวลาเที่ยงคืนของพระราชวังก็เริ่มดังขึ้น!
“หม่อมฉันต้องไปแล้ว!” ซินเดอร์ริล่า กล่าว
“ทำไมล่ะ?” เจ้าชายถามด้วยความสับสน แต่ซินเดอร์ริล่าได้รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วแล้ว
“รอเดี๋ยว! ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย!” เจ้าชายตะโกนขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง
แต่ซินเดอร์ริล่าไม่ได้ตอบคำถามของเจ้าชาย เธอรีบวิ่งลงบันไดเพื่อไปยังรถม้าอย่างรวดเร็ว เธอรีบมากจนทำให้รองเท้าแก้วข้างหนึ่งของเธอร่วงหล่นอยู่บนบันได
เจ้าชายได้นำเอารองเท้าแก้วไปให้ขุนนาง มันคือเบาะแสเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เจ้าชายสามารถตามหาหญิงสาวที่พระองค์ทรงตกหลุมรักเจอ
ในการที่จะหาเจ้าของให้พบ ขุนนางได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการว่า สาวโสดทุกคนในอาณาจักรจะต้องลองใส่รองเท้าแก้วนี้
ในขณะเดียวกันรถม้าของซินเดอร์ริล่าก็รีบเร่งเพื่อที่จะกลับบ้าน เสียงระฆังดังขึ้นเพื่อบอกเวลาเที่ยงคืน และเมื่อดังจนครบสิบสองครั้งรถม้าขนาดใหญ่ก็หายไป เหลือเพียงซินเดอร์ริล่าที่กำลังนั่งอยู่บนฟักทอง ข้างๆ เมเจอร์, บรูโน, และเจ้าหนูอีกสี่ตัว

“ฉันลืมทุกอย่าง, แม้กระทั่งเวลาก็ลืมด้วย” ซินเดอร์ริล่า กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“แต่มันช่างยอดเยี่ยมมาก และเจ้าชายก็รูปงามด้วย...โฮ! ฉันมั่นใจว่าแม้แต่เจ้าชายเองก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน”
“ซินเดอร์ริล่า พอแล้ว เจ้าเลิกฝันเฟื่องได้แล้ว!” แจ๊ค พูดเสียงแหลมและนั่นที่เท้าของซินเดอร์ริล่ายังมีรองเท้าแก้วอีกข้างหนึ่งที่เธอใส่อยู่”
ตลอดทั้งคืน ขุนนางได้ตระเวนจากบ้านหนึ่งไปยังอีกบ้านหนึ่ง เพื่อที่จะให้สาวโสดทั้งหลายทดลองใส่รองเท้าแก้ว ข่าวเกี่ยวกับการตามหาเจ้าของรองเท้าแก้ว ได้รับทราบไปถึงบ้านของซินเดอร์ริล่าด้วย และนั่นทำให้ซินเดอร์ริล่าได้รู้ว่าคู่เต้นรำของเธอในคืนนั้นแท้ที่จริงแล้วก็คือเจ้าชาย!

แม่เลี้ยงเริ่มสังเกตเห็นว่าซินเดอร์ริล่าชอบทำสีหน้าเหมือนคนช่างฝันและมีทีท่าที่ไม่น่าไว้ใจ เธอแอบได้ยินซินเดอร์ริล่าฮัมเพลงที่ได้บรรเลงในงานเลี้ยงอยู่บ่อยๆ


ซินเดอร์ริล่ารีบวิ่งไปยังห้องของเธอแล้วจัดแจงหวีผมให้ดูสวยงาม แม้เลี้ยงได้ติดตามเธอมาติดๆ โดยไม่ให้เธอรู้ตัว


แล้วหญิงชราผู้ชั่วร้ายได้ล็อคประตูขังซินเดอร์ริล่า ก่อนที่ซินเดอร์ริล่าจะหยุดยั้งเธอเอาไว้ได้
แจ๊คและกัสมองดูเหตุการณ์ด้วยความหวาดกลัว “พวกเราจะต้องไปเอากุญแจนั่นมาให้ได้” แจ๊ค กระซิบบอก
ในเวลาเดียวกัน รถม้าของขุนนางได้เคลื่อนที่เข้ามาในลานบ้าน “ท่านแม่, ท่านแม่, ท่านขุนนางอยู่ที่นี่แล้ว!” ดริเซลล่าและอานาตาเซียตะโกนร้องด้วยเสียงดังและแหลม, พวกเธอได้เฝ้ามองดูจากหน้าต่างอย่างใจจดใจจ่อ
ขุนนางได้เดินเข้ามาอย่างช้าๆ แล้วหยุดอยู่ที่บันไดหน้าบ้าน โดยมีผู้รับใช้ถือรองเท้าแก้ว ซึ่งวางอยู่บนหมอนกำมะหยี่


“พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านได้มาถึงที่บ้านของเรา” แม่เลี้ยง ได้กล่าวทักทายขึ้น พี่สาวทั้งสองของซินเดอร์ริล่าได้พากันแสดงความเคารพโดยการถอนสายบังและหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคน
อานาตาเซียและดริเซลล่าต่างเอาศอกดันกันเพื่อให้อีกคนพ้นทาง เพราะว่าแต่ละคนต้องการที่จะเป็นคนแรกที่จะลองใส่รองเท้าแก้ว พี่สาวแต่ละคนพยายามที่จะใส่เท้าของตนลงไปในรองเท้าแก้วให้ได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าใดก็ไม่เป็นผล
และในขณะเดียวกัน แจ๊คและกัสต่างก็รีบเร่งลงไปข้างล่าง ลงไปยังห้องวาดรูป ที่ซึ่งแม่เลี้ยงกำลังยุ่งอยู่กับการพูดคุยกับขุนนาง เจ้าหนูผู้กล้าหาญได้จัดการขโมยกุญแจจากกระเป๋าของแม่เลี้ยงและรีบลากกุญแจขึ้นไปยังข้างบน เพื่อที่จะไปยังห้องใต้หลังคาของซินเตอร์ริล่าแล้วปล่อยให้เธอออกมา
“ข้าสันนิษฐานว่า ในบ้านเจ้ามีหญิงสาวเพียงแค่นี้ใช่ไหม?” ขุนนาง ถามอย่างอ่อนใจ
“ไม่มีใครอื่นอีกแล้วค่ะ” แม่เลี้ยงตอบ
“ดีมาก” ขุนนาง กล่าว พร้อมกับเดินมุ่งหน้าไปยังประตู
ทันใดนั้นเอง เขาได้ยินเสียงเรียกอันอ่อนหวานดังขึ้น “ได้โปรด รอสักครู่! ขอฉันลองสวมมันดูได้ไหม?” นั่นคือเสียงของซินเดอร์ริล่า เธอยืนอยู่บนบันได โดยเธออยู่ในชุดทำงานของเธอ ขุนนางได้มองดูที่เท้าของเธอพร้อมกับส่งยิ้มแล้ว กล่าวขึ้นว่า “ลองดูสี เจ้าเด็กน้อย”
ขุนนางพูดขึ้นพร้อมกับกำลังเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง แต่แม่เลี้ยงผู้โกรธแค้นได้เข้าไปผลักผู้รับใช้ของขุนนางที่ถือรองเท้าแก้วมา ทำให้รองเท้าแก้วแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“โฮ ไม่นะ!” ขุนนาง ส่งเสียงคร่ำครวญ
“แต่บางที นี่อาจจะช่วยได้นะ” ซินเดอร์ริล่า กล่าว พร้อมกับหยิบรองเท้าแก้วอีกข้างหนึ่งออกจากกระเป๋าของเธอ “ฉันมีรองเท้าอีกข้างหนึ่ง”


พวกหนูต่างพากันส่งเสียงเชียร์ ในขณะที่ พวกพี่สาวซึ่งหวาดกลัว ต่างก็พากันจ้องมองดู ขุนนางได้ลองเอารองเท้าแก้วอีกข้างให้ซินเดอร์ริล่าใส่ และเธอก็ใส่มันได้พอดี
ขุนนางรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบเจ้าของรองเท้าแก้ว และพระราชาเองเมื่อได้ทราบข่าวถึงกับกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี และสำหรับเจ้าชายเอง.... แน่นอนที่สุด พระองค์ไม่รอช้า รีบจัดพิธีอภิเษกสมรสกับซินเดอร์ริล่า ยอดรักของพระองค์ และทั้งสองคนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข!

และแล้วก็ HAppy EndinG


ภาคภาษาอังกฤษ
Once upon a time… there lived an unhappy young girl. Unhappy she was, for her mother was dead, her father had married another woman, a widow with two daughters, and her stepmother didn’t like her one little bit. All the nice things, kind thoughts and loving touches were for her own daughters. And not just the kind thoughts and love, but also dresses, shoes, shawls, delicious food, comfy beds, as well as every home comfort. All this was laid on for her daughters. But, for the poor unhappy girl, there was nothing at all. No dresses, only her stepsisters’ hand-me-downs. No lovely dishes, nothing but scraps. No nice rests and comfort. For she had to work hard all day, and only when evening came was she allowed to sit for a while


by the fire, near the cinders. That is how she got her nickname, for everybody called her Cinderella. Cinderella used to spend long hours all alone talking to the cat. The cat said,


Miaow, which really meant, Cheer up! You have something neither of your stepsisters have and that is beauty.


It was quite true. Cindaralla, even dressed in rags with a dusty gray face from the cinders, was a lovely girl. While her stepsisters, no matter how splendid and elegant their clothes, were still clumsy, lumpy and ugly and always would be.
One day, beautiful new dresses arrived at the house. A ball was to be held at Court and the stepsisters were getting ready to go to it. Cinderella, didn’t even dare ask, “What about me?” for she knew very well what the answer to that would be:
“You? My dear girl, you’re staying at home to wash the dishes, scrub the floors and turn down the beds for your stepsisters. They will come home tired and very sleepy.” Cinderella sighed at the cat.
“Oh dear, I’m so unhappy!” and the cat murmured “Miaow”.


Suddenly something amazing happened. In the kitchen, where Cinderella was sitting all by herself, there was a burst of light and a fairy appeared.


“Don’t be alarmed, Cinderella,” said the fairy. “The wind blew me your sighs. I know you would love to go to the ball. And so you shall!”


“How can I, dressed in rags?” Cinderella replied. “The servants will turn me away!” The fairy smiled. With a flick of her magic wand… Cinderella found herself wearing the most beautiful dress, the loveliest ever seen in the realm.


“Now that we have settled the matter of the dress,” said the fairy, “we’ll need to get you a coach. A real lady would never go to a ball on foot!”


“Quick! Get me a pumpkin!” she ordered.


“Oh of course,” said Cinderella, rushing away. Then the fairy turned to the cat.


“You, bring me seven mice!”


“Seven mice!” said the cat. “I didn’t know fairies ate mice too!”


“They’re not for eating, silly! Do as you are told!… and, remember they must be alive!”


Cinderella soon returned with a fine pumpkin and the cat with seven mice he had caught in the cellar.


“Good!” exclaimed the fairy. With a flick of her magic wand… wonder of wonders! The pumpkin turned into a sparkling coach and the mice became six white horses, while the seventh mouse turned into a coachman, in a smart uniform and carrying a whip. Cinderella could hardly believe her eyes.


“I shall present you at Court. You will soon see that the Prince, in whose honor the ball is being held, will be enchanted by your loveliness. But remember! You must leave the ball at midnight and come home. For that is when the spell ends. Your coach will turn back into a pumpkin, the horses will become mice again and the coachman will turn back into a mouse… and you will be dressed again in rags and wearing clogs instead of these dainty little slippers! Do you understand?” Cinderella smiled and said,


“Yes, I understand!”


When Cinderella entered the ballroom at the palace, a hush fell. Everyone stopped in mid-sentence to admire her elegance, her beauty and grace.


“Who can that be?” people asked each other. The two stepsisters also wondered who the newcomer was, for never in a month of Sundays, would they ever have guessed that the beautiful girl was really poor Cinderella who talked to the cat!


When the prince set eyes on Cinderella, he was struck by her beauty. Walking over to her, he bowed deeply and asked her to dance. And to the great disappointment of all the young ladies, he danced with Cinderella all evening.


“Who are you, fair maiden?” the Prince kept asking her. But Cinderella only replied:


“What does it matter who I am! You will never see me again anyway.”


“Oh, but I shall, I’m quite certain!” he replied.


Cinderella had a wonderful time at the ball… But, all of a sudden, she heard the sound of a clock: the first stroke of midnight! She remembered what the fairy had said, and without a word of goodbye she slipped from the Prince’s arms and ran down the steps. As she ran she lost one of her slippers, but not for a moment did she dream of stopping to pick it up! If the last stroke of midnight were to sound… oh… what a disaster that would be! Out she fled and vanished into the night.


The Prince, who was now madly in love with her, picked up her slipper and said to his ministers,


“Go and search everywhere for the girl whose foot this slipper fits. I will never be content until I find her!” So the ministers tried the slipper on the foot of all the girls… and on Cinderella’s foot as well… Surprise! The slipper fitted perfectly.


“That awful untidy girl simply cannot have been at the ball,” snapped the stepmother. “Tell the Prince he ought to marry one of my two daughters! Can’t you see how ugly Cinderella is! Can’t you see?”


Suddenly she broke off, for the fairy had appeared.


“That’s enough!” she exclaimed, raising her magic wand. In a flash, Cinderella appeared in a splendid dress, shining with youth and beauty. Her stepmother and stepsisters gaped at her in amazement, and the ministers said,


“Come with us, fair maiden! The Prince awaits to present you with his engagement ring!” So Cinderella joyfully went with them, and lived happily ever after with her Prince. And as for the cat, he just said “Miaow”!

นิทานเรื่อง++สโนว์ไวท์ กับคนแคระทั้งเจ็ด++

++สโนว์ไวท์ กับคนแคระทั้งเจ็ด++


           กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเจ้าหญิงแสนสวยผู้น่ารักนามว่า สโนว์ไวท์ ผู้อาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงของเธอ ราชินีผู้งดงามแต่ไร้สาระ

           ราชินีไม่อยากให้มีใครผู้ใดมางดงามกว่าตน นางจึงให้สโนว์ไวท์ใส่ผ้าขี้ริ้ว และให้นางทำกับข้าว, ปัดกวาดเช็ดถู และตักน้ำจากบ่อ เสมือนกับนางเป็นคนรับใช้

           แต่ละวัน ราชินีจะเฝ้าคอยถามวิญญาณของกระจกวิเศษว่า "กระจกวิเศษ จงบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี?"

           และทุกๆ วัน กระจกก็จะตอบว่า "ท่านสิคือผู้ที่งามเลิศในปฐพี"

           แต่วันหนึ่งกระจกก็บอกว่า "แต่ช้าก่อน สาวใช้แสนน่ารักที่ข้าเห็นนั้น อนิจจาดูนางจะงดงามกว่าท่านนะ"



            "อนิจจา น่าสงสารนางจริงๆ!" ราชินีร้องอย่างโกรธจัด "เอ๋ยชื่อนางมา"
            "ริมฝีปากสีแดง ดั่งกุหลาบ, เส้นผมดำเงา ดั่งไม้มะเกลือ, ผิวกายขาว ดั่งหิมะ..." "สโนว์ไวท!" ราชินีอ้าปากค้าง

            ขณะเดียวกัน สโนว์ไวท์อยู่ที่ลานบ้านกำลังขัดถูขั้นบันได เมื่อเธอเอนพิงบ่อน้ำเพื่อตักน้ำเพิ่ม เธอก็ร้องเพลงให้กับนกพิราบแถวๆ นั้นฟัง เธอบอกกับพวกมันว่าบ่อน้ำนั้นเป็นบ่อน้ำแห่งอธิษฐาน



            แล้วสโนไวท์ก็มองลงไปในบ่อน้ำพร้อมกับอธิษฐาน-ขอให้นางพบกับรักแท้

           ทันใดนั้น เธอก็เห็นเงาสะท้อนของหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง เธอมองขึ้นและเห็นเจ้าชายผู้หล่อเหลา

           "โอ้!" เธอร้อง และวิ่งเข้าไปในปราสาท

           เจ้าชายได้ยินเสียงร้องเพลง และได้พบกับสโนว์ไวท์ เขาได้เพียรพยายามค้นหาผู้ที่เขาสามารถจะรักได้ และเขาก็พบกับเธอ


             "ข้าทำให้เจ้ากลัวเหรอ?" ชายหนุ่มเรียก
             "ช้าก่อน-ได้โปรดอย่าวิ่งหนีไปไหน" เข้าเริ่มร้องเพลงให้กับเธอฟัง

              สโนว์ไวท์ค่อยๆ เดินออกมาที่ระเบียงเล็กๆ เพื่อฟัง ด้วยหัวใจของนางเต้นอย่างแรง ความฝันของเธอเป็นจริงแล้ว! เธอจูบนกพิราบที่บินลงไปให้จูบเธอกับชายแปลกหน้า สโนว์ไวท์ไม่ได้รู้เลยว่าราชินีกำลังดูอยู่

             เมื่อราชินีได้เห็นชายหนุ่ม และได้ยินคำพูดพร่ำถึงความรักที่มีต่อสโนว์ไวท์ นางรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นางงตัดสินใจที่จะกำจัดสโนว์ไวท์เสีย ครั้งเดียวและตลอดไป




              ราชินีเรียกตัวนายพรานมาพบ "พานางเข้าไปให้ไกลในป่าลึก....ที่ซึ่งนางสามารถจะเก็บดอกไม้ป่าได้" นางสั่ง "ได้พะย่ะค่ะ" เขาตอบ

              "เมื่อถึงที่นั่น....เจ้าก็ฆ่านางได้เลย!"

              "แต่ทูลกระหม่อม เจ้าหญิงน้อย-" เขาคัดค้าน

              "เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าจะไม่ทำภารกิจล้มเหลว จงเอาหัวใจของนางมาใส่ในนี้" ราชินีผู้ดุร้ายกระหน่ำซ้ำ พร้อมกับส่งกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งให้เขา นายพรานผู้หวาดกลัวพาสโนว์ไวท์เข้าไปในป่า แต่เมื่อถึงช่วงเวลาอันเลวร้าย เขาไม่สามารถฆ่านางได้ลงคอ


            "ให้อภัยข้าด้วย!" นายพรานร้องพร้อมกับคุกเข่าลงข้างหน้าหญิงสาวผู้หวาดกลัว
            "วิ่ง วิ่งหนีไปเลย!" ไปซ่อน!" เขาบอกเจ้าหญิงว่า ราชินีกำลังโกรธและอิจฉานางเป็นอย่างมาก และอยากให้นางตาย "อย่ากลับมาอีก!" เขาเสริม



             สโนว์ไวท์ผู้หวาดกลัววิ่งเข้าไปในป่าลึก ต้นไม้ใหญ่ดูเหมือนจะขยายตัวออกมา และพยายามมาคว้าตัวเธอไว้ ดวงตาลุกวาวจ้องเขม็งมาที่เธอจากเงามืด ท้ายที่สุด เธอทิ้งตัวลงไปบนพื้น แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างขมขื่น

             ท้ายที่สุด การสะอึกสะอื้นของสโนว์ไวท์ก็แห้งเหือดไป เธอแหงนหน้าขึ้นก็พบว่าตัวเองถูกรายล้อมไปด้วยกระรอก, กระต่าย, กวาง, นก และสัตว์ป่า นานาชนิด แต่เมื่อเธอลุกขึ้นนั่ง พวกมันต่างพากันออกไปหมด เธอเริ่มร้องเพลงให้พวกมันฟัง แล้วมันก็มาล้อมรอบตัวเธออีก แล้วเธอก็ขอความช่วยเหลือจากพวกมัน "พวกเจ้าอาจจะรู้ก็ได้ว่าฉันจะพักที่ไหนได้บ้าง"


           เธอพูดกับพวกมัน บรรดานกร้องเสียงแหลมเพื่อบอกให้รู้ว่าพวกมันช่วยได้ และไม่นานนักบรรดากลุ่มชนในป่าก็พากันนำทางเธอไปยังบ้านเล็ก หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในที่โล่ง
          
           "มันเหมือนบ้านของตุ๊กตาเลย!" สโนว์ไวท์พูด เธอแอบมองเข้าไปในบ้าน
           "เก้าอี้เล็กๆ เจ็ดตัว....คงจะมีเด็กๆ อยู่เจ็ดคนแน่ๆ เด็กๆ ที่ไม่เรียบร้อยทั้งเจ็ดคน" สโนว์ไวท์คิดว่าหากนางช่วยพวกเขาทำความสะอาดบ้านพวกเขาอาจยอมให้นางพักอยู่ด้วยก็ได้



             ตอนนี้ บ้านหลังเล็กเป็นของคนแคระทั้งเจ็ด ผู้ทำงานอยู่ในเหมืองเพชรใกล้ๆ นี้เอง ทุกๆ เช้าพวกเขาจะเตรียมตัวออกไปที่เหมือง พวกเขาทำงานทั้งวันในอุโมงค์ลึก ฟันก้อนหินล้ำค่าออกมาจากผิวโลกด้วยพลั่วคู่ใจ พวกคนแคระทั้งเจ็ดทำงานหนัก แต่พวกเขาก็มีความสุขเป็นอย่างมาก



              ในแต่ละเย็น ขณะที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน คนแคระทั้งเจ็ดจะหยุดทำงาน พวกเขาจะเก็บเพชรเม็ดใหม่ๆ ไว้ และเดินกลับบ้าน พวกเขารักที่จะผิวปากและร้องเพลงในระหว่างทาง ด็อกเป็นคนนำทางโดยถือตะเกียงของเขา ตามมาด้วย กรัมปี้, แฮปปี้, สลีปปี้, สนิชชี่, แบชฟูล และโดปปี้

               ขณะเดียวกัน บรรดานกและสัตว์อื่นๆ ก็ช่วย สโนว์ไวท์ จัดเก็บบ้านน้อยให้สะอาด พวกเขาปัดฝุ่น และหยากไย่ออก, ซักผ้าที่สกปรก และล้างจานชามทั้งหมด สุดท้ายด้วยความเหนื่อยล้า เธอจึงขึ้นไปชั้นบนที่ห้องนอน ที่นั่นมีเตียงเล็กๆ อยู่เจ็ดเตียง โดยแต่ละเตียงมีชื่อติดเอาไว้

              
             "ด็อก, แฮปปี้, สนีซซี่, โดปปี้, กรัมปี้, แบชฟูล และสลีปปี้ เด็กอะไรชื่อตลกจัง!" สโนว์ไวท์เอ่ย "ฉันเป็นหญิงขี้เซาตัวน้อย" แล้วเธอก็หลับไปโดยทิ้งตัวอยู่บนเตียงเล็กๆ เหล่านั้น



             เมื่อคนแคระทั้งเจ็ดมาถึงที่บ้านของเขา พวกเขาเห็นหน้าต่างทุกบานเปิดไว้
             "จำคำฉันไว้นะ มันจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ" กรัมปี้พูด พวกเขาเอาหัวมาแอบดู อยู่ที่ประตู แล้วค่อยๆ ย่องเข้ามาข้างใน



           "ดูสิ" ด็อกพูด "พื้น-ถูกกวาดซะเกลี้ยงเลย!"
           "หยากไย่ของเราก็หาย!" แบชฟูลพูดบ้าง
           "ถ้วยของฉันก็ถูกล้าง!"
           "อ่างล้างจานก็ว่างเปล่า!"
           "มีบางอย่างที่กำลังหุงต้มอยู่ กลิ่นหอมดีด้วย!"
           "อย่าไปจับมันสิ เจ้าโง่!" กรัมปี้ตะโกน

             ด็อกมองขึ้นไปข้างบนบันได "มันอยู่บนโน้น" เขาพูด คนแคระทั้งเจ็ดกระวนกระวายมากขณะที่พวกเขากำลังปีนบันไดขึ้นไป ต่างคนต่างจับกันไว้ด้วยความกลัว

             พวกเขาย่องเข้าไปในห้อง พอดีกับที่สโนว์ไวท์หาว และยืดแขนเธออกมาใต้ผ้าห่ม


            ด็อกดึงผ้าห่มออกมาแต่ไม่มีสัตว์ประหลาดอยู่ที่นั่น "ทำไม นี่มัน-นี่มันผู้หญิงนี่!" ด็อกร้อง


             สโนว์ไวท์ตื่นขึ้นมาพร้อมกับสะดุ้งเล็กน้อย เธอเข้าใจทันทีว่าไม่มีเด็กๆ ที่ไหน
             "โอ้ ทำไม พวกคุณคือหนุ่มน้อยทั้งหลาย! คุณสบายดีมั้ย?" เธอเริ่มเอ่ยชื่อพวกเขา "ด็อก, แบชฟูล, สลีปปี้, สนีซซี่, แฮปปี้, โดปปี และกรัมปี้

             "พวกเรารู้ว่าพวกเราเป็นใคร ถามเธอสิ ว่าเธอเป็นใคร" กรัมปี้พูด

             "คุณคือใครล่ะ ที่รัก?" ด็อกถาม
     
             "ฉันชื่อสโนว์ไวท์"

             คนแคระทั้งเจ็ดอ้าปาดค้าง เจ้าหญิงสโนว์ไวท์!

             "ได้โปรดอย่าส่งฉันไปไหนเลยนะ" สโนว์ไวท์ขอร้อง เธอบอกพวกเขาว่า "ราชินีจะฆ่าเธอ หากเธอกลับไปบ้าน" "ฉันจะดูแลบ้านให้พวกคุณนะ ฉันจะล้าง...จะเย็บ...จะทำอาหาร..."

             "ทำอาหารเหรอ?" หนุ่มน้อยถาม เมื่อพวกเขารู้ว่าเธอสามารถทำพายกู๊สเบอร์รี่ได้ พวกเขาดีใจมาก

             "ฮูเรย์!" คนแคระทั้งเจ็ดตะโกน "เธอจะอยู่ด้วย!" ด้วยความดีใจ สโนว์ไวท์วิ่งลงไปข้างล้างแล้วคนซุป ไม่ช้าเธอจึงเรียก "อาหารเย็น"



           ขณะเดียวกัน ราชินีผู้ดุร้ายก็ไปหากระจกวิเศษอีก "กระจกวิเศษจงบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี?"
      
           กระจกวิเศษตอบว่า "ข้ามหุบเขาเพชรพลอยไจดลูก หลังน้ำตกเจ็ดสาย ในกระท่อมที่คนแคระทั้งเจ็ดอยู่ สโนว์ไวท์งดงามที่สุด"

           ราชินีบอกกระจกวิเศษว่าสโนว์ไวท์ตายแล้ว นางเอากล่องออกมาเป็นหลักฐาน

           "สโนว์ไวท์ยังมีชีวิตอยู่" กระจกวิเศษตอบ" นี่คือหัวใจหมูทีเจ้ากำลังถืออยู่น่ะ!"

           ราชินีรีบลงไปคุกใต้ดินในปราสาท



            "ข้าจะต้องหาสโนว์ไวท์ด้วยตนเอง" นางผสมยาเสน่ห์หลายสูตรเข้าด้วยกันเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นหญิงชราผู้น่าเกลียด



            ตอนนี้เริ่มเวทมนตร์คาถามของท่านได้แล้ว!"

            เสียงของราชินีเปลี่ยนเป็นหัวเราะเสียงดังแหลม ผมของนางกลายเป็นสีขาว มืออันงดงามของนางหดเป็นเหมือนกรงเล็บ และใบหน้าของนางก็มีริ้วรอยเหี่ยวย่นและหูดเล็กๆ ขึ้นเต็มไปหมด

            "ฮา ฮา ฮา!" นางหัวเราะเสียงดังแหลม" ช่างเป็นการปลอมตัวที่สมบูรณ์แบบจริงๆ!"

            นางเดินกะโผลกกะเผลกไปที่หนังสือเวทมนตร์คาถามของนางแล้วเลือกคำสาป "โอม! แอ๊ปเปิ้ลพิษ! หลับตา!" นางหัวเราะเสียงดังแหลม



            "แต่ช้าก่อน-มันอาจจะมียาถอนพิษก็ได้ ไม่ควรจะมองข้ามอะไรไป โอ! อยู่ที่นี่เอง" นางร้อง "เหยื่อของการหลับตายจะฟื้นคืนสติได้ต่อเมื่อได้รับจูบแรกของรักแท้เท่านั้น จูบแรกของรักแท้เหรอ? เชอะ! ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย!"

            หญิงแก่ผู้น่าเกลียดจุ่มแอ๊ปเปิ้ลลงไปในยาพิษที่ต้มไว้ นางดึงผลไม้สีแดงที่เปล่งประกายออกมา และสอดเข้าไปในตะกร้า

            ในกระท่อม สโนว์ไวท์และคนแคระทั้งเจ็ดกำลังเลี้ยงฉลองกันอยู่



             ร้องเพลงอย่างสุดหรรษาขณะที่คนแคระคนอื่นๆ ก็เล่นเครื่องดนตรีประกอบไปด้วย โดปปี้ยืนอยู่บนไหล่ของสนีซซี่เพื่อที่ว่าเขาจะได้สูงพอๆ ที่จะเต้นรำกับสโนว์ไวท์ได้ ทุกอย่างกำลังไปได้สวยจนสนีซซี่รู้สึกว่าจมูกของเขาเริ่มกระตุกถี่ๆ "ฮะ-ฮะ-ฮะ-ฮาดดดดเช้ยยยย!"

             เช้าวันต่อมา คนแคระทั้งเจ็ดออกไปทำงาน "ตอนนี้อย่าลืมล่ะ ที่รัก ราชินีแก่ผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม" พวกเขาพูด "เพราะฉะนั้นระวังคนแปลกหน้าด้วยนะ"
          
             "ฉันไม่เป็นไรจ๊ะ" สโนว์ไวท์พูดอย่างอิ่มเอม และเธอก็จูบโดปปี้ และคนอื่นๆ บนหัวก่อนพวกเขาออกไป



             ราชินีผู้ชั่วร้ายรีบเข้าป่าไป และหยุดเมื่อนางถึงลานที่โล่ง นางได้ยินเสียงอันไพเราะของสโนว์ไวท์ที่กำลังร้องเพลงอยู่ภายในกระท่อมขณะที่เธอทำงานบ้าน
             "อะฮ้า!" ราชินีพูด "เจ้าพวกคนแคระจะออกไปและเธอก็จะอยู่ลำพัง...."



              ราชินีขึ้นไปที่หน้าต่างของกระท่อม และเห็นสโนว์ไวท์กำลังทำงานอยู่ในครัว
              "ทำพายอยู่เหรอ?" หญิงชราพูดด้วยเสียงต่ำ "อยากจะลองชิมแอ๊ปเปิ้ลของฉันมั้ย?" และนางก็ดึงเอาแอ๊ปเปิ้ลพิษออกมา

             สโนว์ไวท์ทั้งประหลาดใจและกลัวนิดหน่อย บรรดาฝูงนกรู้ถึงอันตราย และบินมาที่หญิงชรา พยายามที่จะขับไล่นางออกไป


              "ชู่ว! ชู่ว!" สโนว์ไวท์ร้อง รีบวิ่งออกมาจากบ้าน "เจ้าหมายความว่ายังไงที่มาทำร้ายหญิงชราผู้น่าสงสารแบบนี้น่ะ?" เธอนำหญิงแก่เข้ามาข้างในและให้นางนั่งลง

           
               บรรดาฝูงนกและสัตว์ต่างๆ มองดูด้วยความหวาดกลัว "เราต้องรีบไปเตือนพวกคนแคระที่อยู่ในเหมือง!" พวกมันร้องจ๊อกแจ๊กและพูดพล่ามต่อกัน แล้วพวกมันก็ไปทั้งบินและวิ่งไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

               แม่มดหยิบผลไม้สีแดงที่เปล่งประกายออกมา "ข้าจะบอกความลับให้เจ้าฟัง" นางเอ่ย

              มันคือแอ๊ปเปิ้ลแห่งความสมหวัง"

              "แอ๊ปเปิ้ลแห่งความสมหวังเหรอ?"
  
              "เพียงกัดหนึ่งคำ แล้วฝันของเจ้าก็จะเป็นจริง อธิษฐานตอนนี้สิ...แล้วค่อยกัดคำหนึ่ง"



              สโนว์ไวท์หยิบแอ๊ปเปิ้ลไป หลับตาลง อธิษฐานขอให้เจ้าชายหาเธอพบและกัดหนึ่งคำใหญ่

              ถึงตอนนี้ บรรดาสัตว์ต่างๆ ก็ไปถึงเหมือง พวกมันทั้งจิกทั้งดันคนแคระทั้งเจ็ดแต่พวกหนุ่มน้อยไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามีอะไรผิดปกติ จนสสุดท้าย สลีปปี้พูดว่า "หรือว่าราชินีเฒ่าจะจับสโนว์ไวท์ได้แล้ว!"

              "โอ้ ฉันรู้สึกแปลกๆ!" สโนว์ไวท์อ้าปากค้าง กลับเข้าไปที่กระท่อม ราชินีผู้ชั่วร้ายมองดูอย่างหระตือรือร้น สโนว์ไวท์หายใจลึกๆ เข้าเฮือกหนึ่ง แล้วก็ล้มลงบนพื้น แอ๊ปเปิ้ลพิษกลิ้งออกไป


              "ฮา ฮา!" หญิงแก่หัวเราะเสียงต่ำ "เธอจะยังหายใจอยู่-เลือดของเธอจะหนาขึ้น ตอนนี้ข้าจะได้เป็นผู่ที่งดงามที่สุดบนผืนแผ่นดินนี้"

              คนแคระทั้งเจ็ดมาถึงลานโล่ง ในขณะที่หญิงแก่ผู้อัปลักษณ์หายกลับเข้าไปในป่า
              คนแคระทั้งเจ็ดถลาเข้าหาราชินีอย่างรวดเร็ว ฟ้าผ่าลงมาและฝนกระหน่ำตก ราชินีเริ่มปีนหุบเขาหิน "นั่น นางอยู่นั่น! ตามไปเลย!" กรัมปี้ร้อง



               ราชินีปีนป่ายสูงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายนางไปถึงยอดหน้าผาซึ่งไปไกลกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว "ข้าจะหักกระดูกพวกเจ้าซะ!" นางพูดด้วยเสียงแหลมพลางคว้ากิ่งไม้แห้ง นางพยายามที่จะผลักหินก้อนใหญ่ใส่คนแคระทั้งเจ็ด


                ทันใดนั้น แสงแปลบปลาบของฟ้าผ่าก็ผ่าลงมาตรงแนวหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผา มันแตกและร่วงลง...ลง...ไปในด้านล่างสุดของหุบเขา ทำให้ราชินีถึงแก่ความตาย

                คนแคระทั้งเจ็ดกลับมาที่กระท่อมก็พบ สโนว์ไวท์นอนสลบอยู่บนพื้น ดูเหมือนว่าจะตายแล้ว เธอดูช่างงดงามยิ่งนัก จนทำให้พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจฝังนาง ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างโลงสีทองและวางเอาไว้ในป่าแทน ทุกๆ วันพวกเขาจะนำดอกไม้ไปให้เธอ และบรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายก็จะแวะมาเยี่ยมเยียนเธอ

                 ในเวลาไม่ช้า ผู้คนต่างก็ได้ยินเกี่ยวกับหญิงบริสุทธิ์ที่นอนสลบไสลอยู่ในป่า เจ้าชายก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหญิงผู้นี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะไปดูด้วยตาตัวเอง

                 ทันทีที่เจ้าชายไปถึงยังโลงศพที่ลานโล่ง เขาก็รู้ทันทีว่าเธอคือหญิงสาวผู้น่ารักที่อยู่ตรงบ่อน้ำแห่งคำอธิษฐาน ด้วยหัวใจแตกสลาย เขาจึงโน้มตัวลงไปและจูบสโนว์ไวท์ แล้วโค้งศรีษะลงคำนับในความเงียบ

                 ทันใดนั้น เปลือกตาของสโนว์ไวท์ก็กะพริบเปิดขึ้น เธอหาว ลุกขึ้นนั่ง และรู้สึกฉงนที่พบว่าตนเองกำลังมองตาอยู่กับเจ้าชายผู้เป็นที่รักของนาง เขาโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างเป็นสุขทคนแคระทั้งเจ็ดต่างพากันเต้นรำอย่างเฮฮา และฝูงสัตว์ป่าทั้งหลายก็คุยกันจ๊อกแจ๊ก อย่างดีใจเป็นที่สุด

                  สโนว์ไวท์จูบลาคนแคระทั้งเจ็ดทีละคน เจ้าชายอุ้มเธอขึ้นขี่ม้าขาวของเขา และนำทางไปที่ปราสาทของเขาแล้วพวกเขาก็แต่งงานกันที่นั่น และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดมา
            

HAPPY ENDING

ภาคภาษาอังกฤษ

Once upon a time in a great castle, a Prince’s daughter grew up happy and contented, in spite of a jealous stepmother. She was very pretty, with blue eyes and long black hair. Her skin was delicate and fair, and so she was called Snow White.

Though her stepmother was a wicked woman, she too was very beautiful, and a magic mirror told her this every day, whenever she asked it. “Mirror, mirror on the wall, who is the loveliest lady in the land?” The reply was always; “You are, your Majesty,” until the dreadful day when she heard it say, “Snow White is the loveliest in the land.” The stepmother was furious and, wild with jealousy, began plotting to get rid of her. Calling one of her servants, she bribed him with a rich reward to take Snow White into the forest, far away from the castle. Then, unseen, he was to put her to death. The greedy servant, attracted to the reward, agreed to do this deed, and he led the sweet little girl away. However, when they came to the fatal spot, the man’s courage betrayed him and, leaving Snow White sitting beside a tree, he mumbled an excuse and ran off. Snow White was thus left all alone in the forest.

Night came, but the servant did not return. Snow White, alone in the dark forest, began to cry bitterly. She thought she could feel terrible eyes spying on her, and she heard strange sounds and rustlings that made her heart thump. At last, overcome by tiredness, she fell asleep curled under a tree.

Snow White slept fitfully, wakening from time to time with a start and staring into the darkness round her. Several times, she thought she felt something, or somebody touch her as she slept.

At last, dawn woke the forest to the song of the birds, and Snow White too, awoke. A whole world was stirring to life and the little girl was glad to see how silly her fears had been. However, the thick trees were like a wall round her, and as she tried to find out where she was, she came upon a path. She walked along it, till she came to a clearing. There stood a strange cottage, with a tiny door, tiny windows and a tiny chimney pot. Everything about the cottage was much tinier than it ought to be. Snow White pushed the door open.

“l wonder who lives here?” she said to herself, peeping round the kitchen. “What tiny plates! And spoons! There must be

seven of them, the table’s laid for seven people.” Upstairs was a bedroom with seven neat little beds. Going back to the kitchen, Snow White had an idea.

“I’ll make them something to eat. When they come home, they’ll be glad to find a meal ready.” Towards dusk, seven tiny men marched homewards singing. But when they opened the door, to their surprise they found a bowl of hot steaming soup on the table. Upstairs was Snow White, fast asleep on one of the beds. The chief dwarf prodded her gently.

“Who are you?” he asked. Snow White told them her sad story, and tears sprang to the dwarfs’ eyes. Then one of them said, as he noisily blew his nose:

“Stay here with us!”

“Hooray! Hooray!” they cheered, dancing joyfully round the little girl. The dwarfs said to Snow White:

“You can live here and tend to the house while we’re down the mine. Don’t worry about your stepmother leaving you in the forest. We love you and we’ll take care of you!” Snow White gratefully accepted their hospitality, and next morning the dwarfs set off for work. But they warned Snow White not to open the door to strangers.

Meanwhile, the servant had returned to the castle, with the heart of a roe deer. He gave it to the cruel stepmother, telling her it belonged to Snow White, so that he could claim the reward. Highly pleased, the stepmother turned again to the magic mirror. But her hopes were dashed, for the mirror replied: “The loveliest in the land is still Snow White, who lives in the seven dwarfs’ cottage, down in the forest.” The stepmother was beside herself with rage.

“She must die! She must die!” she screamed. Disguising herself as an old peasant woman, she put a poisoned apple with the others in her basket. Then, taking the quickest way into the forest, she crossed the swamp at the edge of the trees. She reached the bank unseen, just as Snow White stood waving goodbye to the seven dwarfs on their way to the mine.

Snow White was in the kitchen when she heard the sound at the door: KNOCK! KNOCK!

“Who’s there?” she called suspiciously, remembering the dwarfs advice.

“I’m an old peasant woman selling apples,” came the reply.

“I don’t need any apples, thank you,” she replied.

“But they are beautiful apples and ever so juicy!” said the velvety voice from outside the door.

“I’m not supposed to open the door to anyone,” said the little girl, who was reluctant to disobey her friends.

“And quite right too! Good girl! If you promised not to open up to strangers, then of course you can’t buy. You are a good girl indeed!” Then the old woman went on.

“And as a reward for being good, I’m going to make you a gift of one of my apples!” Without a further thought, Snow White opened the door just a tiny crack, to take the apple.

“There! Now isn’t that a nice apple?” Snow White bit into the fruit, and as she did, fell to the ground in a faint: the effect of the terrible poison left her lifeless instantly.

Now chuckling evilly, the wicked stepmother hurried off. But as she ran back across the swamp, she tripped and fell into the quicksand. No one heard her cries for help, and she disappeared without a trace.

Meanwhile, the dwarfs came out of the mine to find the sky had grown dark and stormy. Loud thunder echoed through the valleys and streaks of lightning ripped the sky. Worried about Snow White they ran as quickly as they could down the mountain to the cottage.

There they found Snow White, lying still and lifeless, the poisoned apple by her side. They did their best to bring her alive, but it was of no use.

They wept and wept for a long time. Then they laid her on a bed of rose petals, carried her into the forest and put her in a crystal coffin.

Each day they laid a flower there.

Then one evening, they discovered a strange young man admiring Snow White’s lovely face through the glass. After listening to the story, the Prince (for he was a prince!) made a suggestion.

“If you allow me to take her to the Castle, I’ll call in famous doctors to waken her from this peculiar sleep. She’s so lovely I’d love to kiss her!” He did, and as though by magic, the Prince’s kiss broke the spell. To everyone’s astonishment, Snow White opened her eyes. She had amazingly come back to life! Now in love, the Prince asked Snow White to marry him, and the dwarfs reluctantly had to bid good bye to Snow White.

From that day on, Snow White lived happily in a great castle. But from time to time, she was drawn back to visit the little cottage down in the forest, to her dwarf friends.